เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นที่พึ่งอาศัยของสัตว์โลก
สัตว์โลกไม่มีที่พึ่งใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มี แม้แต่โลกนี้เกิดมาจากความว่างเปล่า แม้แต่โลกนี้เกิดจากกลุ่มก๊าซมันเกาะตัวกัน มีการเคลื่อนไหว มีแรงโน้มถ่วง เกิดมาเป็นโลก แม้แต่โลกก็ว่าง
ว่าความว่างๆๆ โลกมันก็ว่าง ว่างมาก่อน แล้วมันเกิดจากอะไร เกิดจากแรงโน้มถ่วง เกิดจากการเคลื่อนไหวของมัน มันสะสมของมันขึ้นมากลายเป็นโลก แล้วสิ่งมีชีวิตมันเกิดขึ้นมา
สิ่งมีชีวิตมันเกิดขึ้นมา สิ่งมีชีวิตมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ปล่อยวางๆ ทุกคนรู้จักกับการปล่อยวางๆ การปล่อยวางๆ มันก็สมมุติว่าปล่อยวางๆ
มันคิดเองไง คิดว่าปล่อยวาง มันคิดของมันเอง แต่มันไม่มีหรอก เพราะอะไร เพราะมันไม่เห็นตัวมันเอง มันจะเอาอะไรไปปล่อยวาง มันไม่รู้จัก
ถ้ามันรู้จัก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตตะคือผู้ข้อง ผู้ข้องผู้เกี่ยว ผู้เหนี่ยวผู้รั้ง ผู้อาลัยอาวรณ์ อันนั้นน่ะผู้ข้อง นั่นน่ะสัตตะ
แต่เป็นความคิดความรู้สึกของเรา แรงปรารถนา เวลาแรงปรารถนาขึ้นมานี่สุมไฟกัน มึงก็สุมไฟกองหนึ่ง กูก็สุมไฟกองหนึ่ง ต่างสุมไฟกัน สุมไฟกันทำความเดือดร้อนให้แก่สัตว์โลก ให้แก่สังคม มีแต่สุมไฟ สุมไฟคนละกองๆ แผดเผากัน นี่ไง เรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง
เวลาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้เสียสละ ให้เรื่องของทาน ให้เรื่องสังคม
ในบ้านเรานะ มีแต่ชุมชนของเราที่อบอุ่น ชุมชนของเราที่มีน้ำใจนะ บ้านเรา เราทิ้งบ้านเราไว้ได้เลยนะ กลับมาบ้านเราสมบูรณ์แบบ บ้านเราไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องนะ แล้วบ้านใครๆ มันก็เหมือนๆ กันหมดนะ คิดดูว่าสังคมมันจะร่มเย็นเป็นสุขขนาดไหนไง นี่มันเป็นไปไม่ได้ไง ไม่ได้เพราะอะไร
“เพราะผมมีความจำเป็น”
ทุกคนมีความจำเป็นทั้งนั้นน่ะ แล้วใครไม่มีความจำเป็น
คนเรานะ เวลากินเข้าไปแล้วต้องมีการขับถ่าย เวลากินเข้าไปแล้วมีการขับถ่าย การขับถ่ายเป็นความจำเป็นไหม แล้วใครบ้างไม่ขับถ่าย มันขับถ่ายทุกคนน่ะ เวลาการขับถ่าย ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย เห็นไหม
แต่เวลาบอก อ้างความจำเป็นๆ คนอื่นไม่จำเป็น เราจำเป็นคนเดียว เรามีแต่ความจำเป็น เรามีแต่ความรีบร้อน เราต้องไปก่อน ไอ้คนอื่นไว้ข้างหลัง แล้วคนอื่นมันแตกต่างจากเราตรงไหน คนอื่นมันแตกต่างจากเราตรงไหน มันไม่เห็นแตกต่างจากเราเลย
แต่ถ้าเรามีน้ำใจต่อกัน คำว่า “มีน้ำใจต่อกันๆ” สัตว์โลกปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งสิ้น ปรารถนาความสุข แล้วความสุขของใครล่ะ
บ้าห้าร้อยจำพวก ใครที่ต้องการสิ่งใด ชมรมสิ่งใดมันก็มีความสุขของมันเวลาถ้ามันสมความปรารถนา นั่นมันเป็นอามิส แล้วเราก็แสวงหากัน เพราะสิ่งนั้นมันจับต้องได้ สิ่งนั้นเป็นสถิติ คนร่ำคนรวย คนมีเงินมีทองในธนาคาร มีตัวเลขขึ้นมา แต่ไม่เห็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่
เวลาหลวงตาของเรา หลวงตาเรามีบริขาร ๘ พระ พระตามวินัยตามกฎหมาย ไม่มีสมบัติ ไม่มี มีแต่บริขาร ๘ แล้วคนจนผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ยิ่งใหญ่สงเคราะห์โลก ช่วยโลก ไม่มีตัวเลขในบัญชีเลย
ท่านพูดประจำ เราฟังแล้วสะเทือนใจ “ไอ้ที่เราต้องปากกัดตีนถีบอยู่นี่เพราะเราไม่มี ถ้าเรามีนะ ทองเป็นกองเท่าภูเขา เราจะเอารถแทรกเตอร์ดั๊มป์ใส่เลย”
ท่านบอกว่า “แต่เรามันไม่มี เพราะเราไม่มี แต่เรามีน้ำใจที่ช่วยโลก” ท่านก็เลยบอก “เราคนทุกข์คนจน คนละเล็กคนละน้อย ห้าบาทสิบบาทขึ้นมา”
คำว่า “ห้าบาทสิบบาท” น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน ฝนตกที่ละหยดทีละหยาดมันก็ช่วยสังคมได้ ช่วยสังคมได้เพราะอะไร เพราะมีผู้นำที่น่าไว้วางใจ เพราะมีหลวงตาเป็นที่น่าไว้วางใจ คนที่เชื่อใจท่านวางใจท่านถึงได้ช่วยเหลือกัน
ถ้าหัวหน้ามันไม่น่าไว้วางใจ เรามีเท่าไรไป ทะเลมันถมไม่เต็ม ถ้าบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจมันจะเป็นผู้นำได้อย่างไรล่ะ มันต้องเป็นบุคคลที่น่าไว้วางใจ ถ้าน่าไว้วางใจขึ้นมา ท่านจะช่วยโลกด้วยสติด้วยปัญญาของท่าน เราก็ร่วมมือกับท่าน ดูสิ ดูค่าของน้ำใจ ถ้ามันมีค่า มีค่าขึ้นมาอย่างนั้น
ถ้ามันมีค่าขึ้นมาอย่างนั้น เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราปากกัดตีนถีบก็เลี้ยงร่างกายของเรา แล้วสมอง ดูสิ ความรู้สึกนึกคิดมันก็คิดของมัน เราเป็นคนทุกข์คนยาก เราต้องมีสมบัติพัสถาน เราต้องมีความมั่นคงของชีวิต มันคิดของมันไปนะ
ถ้าความคิดอันนั้นมันปล่อยวางของมัน ความคิดมันพอหาอยู่หากินได้ เราก็มีสติมีปัญญา เราก็มีมือมีเท้าเหมือนกัน เรามีหน้าที่การงาน เราก็มีอาหารของเรา ถ้ามันคิดของมันอย่างนั้นน่ะ ไอ้ความตึงเครียด ไอ้ความเครียดในหัวใจมันก็เบาบางลง ไม่ต้องวิตกกังวล พรุ่งนี้จะกินอะไร มะรืนจะกินอะไร
พระมีแต่บาตร พรุ่งนี้ใส่บาตรก็ได้ฉัน พรุ่งนี้ไม่ใส่บาตรก็กินลม
เราธุดงค์มาตลอด ไปบิณฑบาตผิดเวลาเขาไม่ได้กินหรอก วันนี้กินลม บิณฑบาตได้ลมมาก็กินลม พรุ่งนี้มะรืนนี้ไม่มี ไม่มีอะไรสิ่งใด
ภิกษุบิณฑบาตมา สะสมอาหารไว้กินพรุ่งนี้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ของที่สะสมไว้เป็นนิสสัคคีย์ พระฉันเป็นปาจิตตีย์ ภิกษุห้ามสะสมไว้เป็นแรมคืน
แต่ทำไมเรามีคลังล่ะ ไม่สะสม โอ้โฮ! เปิดคลังหลวงพ่อมีแต่ข้าวสารทั้งนั้นเลย
ข้าวสารเอาไว้เจือจานสังคม เวลาพระของเรามา ผู้ที่ไปอยู่ในป่าในเขา เขามาลงอุโบสถที่นี่ เวลาเขามา เขาเอารถของเขามาเขาก็บรรทุกของเขาไป เพื่อสังคมด้วย เพื่อแจกทานด้วย นี่เวลามีไว้ มีไว้ให้คนอื่น แต่พระเราไม่ได้
พระทำอาหารให้สุกเองไม่ได้ พระสะสมไม่ได้
สิ่งที่สะสมไม่ได้ พระไม่ได้สะสม นี่มันเป็นเรื่องของสงฆ์ เรื่องของสาธารณะ ไม่ใช่เรื่องของบุคคล
บุคคลสะสมไม่ได้ บุคคลทำไม่ได้ บุคคลเป็นอาบัติหมด แต่คณะสงฆ์ไม่มีอาบัติ ไม่มี
นี่พูดถึงเวลาธรรมเป็นสาธารณะ นี่พูดถึงว่า ถ้าบอกว่า หลวงพ่อมีพร้อมแล้ว หลวงพ่อก็พูดได้น่ะสิ คนอื่นเขาไม่มีนี่ เขาต้องแสวงหาของเขา
แสวงหาของเขามันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ เรื่องปกติธรรมดาของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องมีอาหาร สิ่งมีชีวิตมันต้องมีอาหารเพื่อดำรงชีพของมัน สิ่งมีชีวิต เห็นไหม
เวลาพระ เราเป็นฆราวาสเรามาบวชเป็นพระ เวลาบวชเป็นพระขึ้นมา อุปัชฌาย์ให้บาตร บาตรนี้คืออาหาร ให้ผ้าห่ม ได้ไตรจีวรเพื่อกันยุง กันเหลือบ กันไร สิ่งที่ให้มาๆ ปัจจัย ๔
พอปัจจัย ๔ ขึ้นมา ถ้าปัจจัย ๔ ขึ้นมา สิ่งที่มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราจะจริงหรือไม่
ความจริงขึ้นมา จริงตามธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราไม่จริง เราไม่จริง เราก็ไม่มีอะไรเป็นความจริงสักชิ้นหนึ่ง
ถ้าจะเป็นความจริง ความจริงขึ้นมา เราต้องทำความสงบของใจเราเข้ามาให้ได้ ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา มันจะจริงตรงนั้นน่ะ จริงตรงที่มันสงบเข้ามาแล้ว รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง สมาธิธรรมมันมีความสุขความสงบในใจของมัน ถ้ามีความสุขความสงบในใจของมัน เห็นไหม
มันวิตกกังวลนะ คนจะอดนอนผ่อนอาหาร เวลาผ่อนอาหารมันวิตกกังวลไปหมด เวลาผ่อนอาหารเขาผ่อนอาหารเพื่ออะไร ผ่อนอาหารเพื่อไม่ให้ธาตุขันธ์ทับจิตๆ เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นั่งสัปหงกโงกง่วง สัปหงกโงกง่วงเพราะอะไร เพราะกินแต่ไขมันไง กินแต่ไขมัน กินแต่อาหารที่อุดมสมบูรณ์ คุณภาพชีวิต สิ่งดีงาม แล้วก็ไปนั่งสัปหงกอยู่นั่นน่ะ
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ได้สิ่งใดมา หลวงปู่หล้า หลวงตาท่านเล่าให้ฟังอยู่ที่หนองผือ ชนชาวอีสานเขาอยู่แบบพื้นบ้าน สิ่งที่เขาใส่สิ่งใดมามันก็ถูกจริต จับปาเข้าป่า จับปาทิ้งหมดน่ะ ท่านไม่เอาๆ แล้วไปฉันอะไร ฉันข้าวเหนียวเปล่าๆ
ฉันข้าวเหนียวเปล่าๆ เพราะอะไร เพราะไปนั่งภาวนาแล้วมันไม่สัปหงกโงกง่วง ละอาหารที่หยาบๆ อาหารที่เรากินกันด้วยปาก มันจะไปได้อาหารที่ละเอียด อาหารที่เป็นคุณธรรมในหัวใจ ความสงบระงับ แต่เราคิดไม่เป็น มันจะเอาแต่หยาบๆ เอาแต่วัตถุ
แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันไม่เอา เพราะมันจับต้องไม่ได้ แต่เวลามีความสุขนะ ใครทำความสงบของใจได้ โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์ขนาดนั้นน่ะ แล้วมันหาที่ไหนล่ะ
เปิดตู้เอาใช่ไหม ตู้พระไตรปิฎกเปิดแล้วไหลลงมาใส่ตัวเราเลยหรือ จะไปเปิดดูที่ไหน ตู้พระไตรปิฎกก็เป็นทฤษฎีเท่านั้น เวลาครูบาอาจารย์เทศน์ เทศน์จากหัวใจของท่าน แล้วของเราล่ะ
เราไม่ทำก็ไม่ได้ เราไม่ทำก็ไม่มี เราไม่ขวนขวายก็ไม่เป็นความจริงของเรา ถ้ามันเป็นความจริงของเรา ถ้ามันเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากใจของเรา เกิดจากการกระทำไง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ถ้าปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ต้องทำอย่างไร
ถ้าคนไม่ทำ มันก็เหมือนแม่ปูไง “ลูก ต้องให้เดินตรงๆ เหมือนแม่นี่สิ” แม่ปูมันเดินนะ “เดินตรงๆ สิ” คนอื่นมันไปติเขาหมดเลย แต่ไม่รู้ว่าตัวมันเองมันก็เดินส่ายไปส่ายมา แม่ปูน่ะ นั่นถ้ามันไม่เป็นน่ะ
ถ้าเราเป็นแม่ปู หนูเป็นปู หนูก็ต้องเดินส่ายอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดา อ้าว! คนเขาเดินอย่างนั้นน่ะ ไอ้นี่แม่ปูจะขีดเส้นให้เขาเดินเลย มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก คนภาวนาไม่เป็นมันไม่รู้หรอกสิ่งใดเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์
ทางการแพทย์ๆ ดูสิ ให้วัคซีนตลอดเลย ป้องกันไว้ให้สุขภาพมันแข็งแรง นู่นก็วัคซีน ดูสิ ไวรัสต่างๆ มานี่ไม่ให้เข้าเลย ยิ่งฝุ่นมา โอ้โฮ! คาดหน้ากากเลย เพราะอะไรล่ะ เพราะสุขภาพเราจะเสียหาย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าพูดถึงคนเป็นๆ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เสียสละทาน
การเสียสละทานคือการเสียสละความเห็นแก่ตัว ถ้ามันของกูๆ มันไม่ให้ใครหรอก แล้วมันมีแต่ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันเป็นจุดเริ่มต้นของการเหยียบย่ำทำลายกัน แล้วทิฏฐิมานะของใครที่มันรู้มันเห็นของมัน มันจะยึดว่ากูรู้กูเก่ง...อัตตาทั้งนั้นเลย
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอนัตตา อนัตตานะ ถ้าเป็นสสารนี่อนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกไม่มีสิ่งใดคงที่ แปรสภาพตลอด แต่คำว่า “อนัตตา” ไม่มีใครรู้จักมันหรอก
การจะรู้จักมันได้ อนัตตาคืออะไร คือการเกิดขึ้น อะไรเกิด อะไรเกิด นี่ไง ถ้าจิตสงบแล้ว ตัวมันน่ะ ตัวตนน่ะ
สิ่งของยศถาบรรดาศักดิ์เราเข้าใจได้นะ แล้วตัวตนอยู่ไหนล่ะ แล้วที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ไหนล่ะ แล้วไปทำกันอยู่ข้างนอกนู่น มันไม่ได้ทำในหัวใจ
ถ้ามันทำในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องอนัตตา อนัตตาคือความเกิดขึ้น การเกิดขึ้นนั้นทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจเราไม่สงบ นี่เป็นปุถุชนคนหนา คนหนาสันดานหยาบ ถ้าเป็นกัลยาณชน ทำสมาธิได้ง่ายขึ้น ทำสมาธิได้ดีขึ้น
กัลยาณชน ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ตัวตนของมัน ตัวของจิตที่มันเกิดสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็น ความเห็นว่าร่างกายของเรา สรรพสิ่งของเรา สมบัติของเรา มันเห็นผิดทั้งนั้นน่ะ
แร่ธาตุมันถูกของมันนะ เงินก็คือเงิน ทองก็คือทอง สรรพสิ่งมันเป็นตามความจริงของมัน ดูสิ เวลาทอง คนที่เขาไม่ชอบมันก็ไม่มีค่าใช่ไหม คนที่ชอบทอง ทองก็มีค่า คนไม่ชอบอะไรมันก็ไม่มีค่า ถ้ามันชอบก็มีค่าทันที มันมีค่าตามตัวมันเองน่ะ
แต่ถ้าของเรา เราไม่รู้ไม่เห็นของเรา แล้วมันจะมีคุณค่าขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ
เวลาจิตมันสงบเข้ามาแล้ว ถ้าสงบแล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง เห็นไหม ยกขึ้นสู่วิปัสสนา เกิดๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ไตรลักษณ์
มันไม่มีหรอก มันมีแต่ในตำรา ตำราสอนว่าไตรลักษณ์ มันก็เอามาวิตกวิจารณ์ เอามาวินิจฉัย ใครก็พูดได้ พูดไปเถอะ นกแก้วนกขุนทอง
เราเจอนะ เรียนพระพุทธศาสน์ดอกเตอร์ทั้งนั้นเลย เขาจะมาหาเรา เราถามเขาเลย เห็นนกแก้วนกขุนทองไหม
เห็น
เวลาเขาป้อนกล้วยมันน่ะ แม่จ๋า พูดแม่จ๋าให้กล้วยคำหนึ่ง นกขุนทองมันรู้คำว่า “แม่จ๋า” หรือมันรู้ว่าแม่จ๋าคือกล้วย
เรียนไปเถอะ เรียนน่ะมันเป็นปริยัติ เรียนมาเพื่อแนวทาง เขาเรียนมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ
การเรียนนี่นะ เรียนจนจบ ๙ ประโยค ทรงจำธรรมวินัยนี้เก่ง ได้ใบประกาศนียบัตร แต่พุทโธยังไม่รู้จัก ทำจิตสงบก็ไม่เป็น ทำอะไรก็ไม่ได้ เรียนจบมาแล้วไง ก็นกขุนทองไง แม่จ๋า ได้กล้วยคำหนึ่ง ไอ้กล้วยนี่คือแม่จ๋า ว่าอย่างนั้นเลยนะ เพราะแม่จ๋าทีไรได้กินกล้วยทุกทีเลย
แล้วแม่จ๋ามันคืออะไร ความเป็นจริงมันคืออะไร
เรียนมาก็คือเรียนมา เรียนมาคือการทรงจำธรรมวินัยนะ แต่ถ้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพูดถึงหลักการของพระพุทธศาสนา ปริยัติ ต้องมีการศึกษา การศึกษาไว้ ศึกษาไว้ให้ศาสนานี้มันยังอยู่ในวัฒนธรรมของเรา
แต่ถ้าใครประพฤติปฏิบัติเข้าไป ศึกษาไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ศึกษาไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ ทรงจำธรรมวินัยไว้เพื่อการค้นคว้าหาสัจจะความจริงขึ้นมา
การทรงจำธรรมวินัยก็เป็นเรื่องหนึ่ง การประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เห็นตามความเป็นจริงนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาในใจของตนแล้ว ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก
เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรม เวลาท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น้ำตานี้ไหลพราก น้ำตาไหลพราก น้ำตาที่ชำระล้างภพชำระล้างชาติ
น้ำตาชำระภพชำระชาติไม่ใช่น้ำตาแบบเรา ถ้ารักเขาแล้วเขาไม่รักตอบ น้ำตาไหล ใครทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ น้ำตาไหล น้ำตาไหลเพราะทุกข์เพราะโศก
อันนั้นน้ำตาไหลเพราะมันสำนึก มันสะเทือนหัวใจ ชาตินี้ชาติสุดท้าย พอกันที ไอ้ที่มันเกิดมันตายมันอยู่ตรงนี้ พอกันที
พอมันไปจับเอาตัวหัวใจนั้น จับภวาสวะนั้น แล้วทำลายตรงนั้นหมดสิ้นไปแล้วน่ะ พอกันที ทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่นะ
เวลาคนที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเหลือล้น มันไม่รู้จักพอกันทีหรอก มันแสวงหาอยู่ข้างนอก มันไม่เห็นใจของมัน มันพยายามต้องการความยิ่งใหญ่ ต้องการยศถาบรรดาศักดิ์ ต้องการการยอมรับของสังคม มันแสวงหาของมัน มันวิ่งเต้นของมัน มันไม่ได้สิ่งใดเลย
เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ทำลายหัวใจ ทำลายภวาสวะไปแล้ว พอกันที ทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอีก ๔๕ ปีมีชีวิตอยู่ กิเลสมันตาย สิ่งที่เหลือ เหลืออะไร เหลือคุณธรรม เหลือธรรมธาตุ ธาตุที่เป็นธรรม ธาตุที่เป็นธรรม ธาตุที่เป็นประโยชน์ไง ธาตุที่เป็นประโยชน์เพราะอะไร
โลกนี้เกิดจากความว่าง เกิดจากกลุ่มก๊าซมันเกาะตัวกัน เกิดจากความว่างจนมันเป็นสิ่งที่มีชีวิต ดูสิ ดูป่าดงดิบสิ ดงพญาเย็น ดงพญาเย็นเมื่อก่อนไม่มีใครกล้าเข้าไปหรอก เพราะเข้าไปแล้วมันตาย ออกมาไม่ได้หรอก พวกสัตว์ พวกเสือ พวกช้าง ม้ามันเต็มป่า หลงป่าตายอยู่นั่น
ดูสิ เกิดจากความว่างเปล่า แต่โลกทั้งโลกมันใหญ่ขนาดไหน ดูมหาสมุทรสิ ดูแต่ละทวีปสิ เกิดจากความว่างเปล่า แล้วมันขึ้นมาวิวัฒนาการของมัน
ไอ้นี่ แหม! เป็นความว่าง นิพพานเป็นความว่างๆ
ความว่าง ว่างอะไร เพราะมันไปยึดมั่นถือมั่นของมัน มันศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ศึกษามาเป็นปริยัติ ศึกษามาทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เริ่มต้น เริ่มต้นจากมนุษย์
มนุษย์เกิดจากพันธุกรรมของจิตๆ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย พอไม่มีต้นไม่มีปลาย เกิดมามีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วขึ้นมา เราได้เกิดมาในสังคม ในวัฒนธรรมของชาวพุทธ
ชาวพุทธ คนที่ไม่เชื่อ เช้าขึ้นมาน่ะ “โอ้! มีมนุษย์ห่มผ้าสีเหลืองหัวโล้นๆ ถือบาตรเนาะ” ถ้ามันยังไม่เชื่อนะ เช้าขึ้นมาเห็นพระบิณฑบาตไง “เออ! ที่นี่มันมีมนุษย์หัวโล้นเนาะ ห่มผ้าเหลืองเดินบิณฑบาต”
นี่มันได้คิด มันได้เห็นภาพ มันได้กระทบ ถ้ามันมีสติมันมีปัญญามันจะค้นคว้า ทำไมมนุษย์ทำอย่างนั้น ทำไมคนเขาอยู่สุขสบาย มีบ้านมีเรือนทำไมไม่อยู่ ทำไมเขาไปอยู่วัดอยู่วาเป็นอารามิกชนที่ไม่มีบ้านไม่มีเรือน ไม่มีสมบัติ เขาไปอยู่ทำไม เขาไปอยู่แล้วเขามีสมบัติอะไร เขาไปอยู่เพื่อความมุ่งหมายอะไร เขาไปอยู่แล้วเขาได้ผลประโยชน์อะไร
ถ้าเรารู้สึกนึกคิด เราก็มาคิดแล้ว แล้วเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันน่ะ เออ! เราก็เดือดร้อนอยู่นี่ไง แข่งขันกับโลก โอ้โฮ! จะเป็นจะตายอยู่นี่
ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจ คนที่เกิดมีทุกข์ทั้งหมด ทุกข์ทั้งนั้น
ความสุข ดูความสุขการครองเรือน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ความสุขทางโลกนะ เหมือนกับวิดทะเลทั้งทะเลเลย ทะเลนี้ต้องวิดทั้งทะเลเลยนะ แล้วได้ปลาตัวหนึ่ง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสั่งสอนไว้ ชีวิตในการครองเรือนเหมือนวิดทะเลทั้งทะเลเลย ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำสมบุกสมบันทั้งหมดเลย แล้วเวลาจะได้ความสุขก็ปลาตัวหนึ่ง ปลาตัวน้อยๆ นี่ชีวิตการครองเรือน ทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป นี้เป็นสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วชีวิตเราล่ะ
มันก็อยู่ในขอบข่ายนี้แหละ เพียงแต่เราโง่ เราน่ะโง่ แต่อวดฉลาด “ฉันมีความสุข ชีวิตฉันสมบูรณ์ บ้านเรือนฉันอบอุ่น”
เวลามีคนพลัดพราก คนตายจากบ้านนั้นไป ร้องไห้จนบ้านสั่นไหว เวลาในบ้านนั้นมีปัญหาขึ้นมา บ้านเรือนนี้สั่นไหวไปหมด โลกธาตุนี้สั่นไหว นี่ไง มีความสุขหรือ สุขอะไร
แต่ถ้าความจริงๆ เราก็เป็น พระก็เป็น พระก็ตาย ดูสิ เผาศพพระเยอะแยะเลย พระก็เกิดมาจากพ่อจากแม่ เกิดมาแล้วจะมาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระแล้วมีการขวนขวายมีการประพฤติปฏิบัติ
เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเห็นความเป็นจริง ถ้ากิเลสมันตายไปแล้วนะ มันไม่มีอะไรตายหรอก มันถึงวาระของมัน
ดูสิ ครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านลาวัฏฏะด้วย ลาวัฏฏะตั้งแต่วันที่กิเลสสิ้นไปแล้ว เวลากิเลสสิ้นไปแล้วเหลือชีวิตอยู่ไว้ ชีวิตเป็นแบบอย่าง ชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์ แล้วมีใครมีหูมีตาเอาเป็นแบบอย่างหรือไม่ ถ้าเอาเป็นแบบอย่างขึ้นมา เขาจะขวนขวายของเขา เขาทำของเขา เขาจะมีโอกาสทำได้แบบหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น
แล้วเวลาลาวัฏฏะๆ โลกนี้เป็นความว่างเปล่า โลกเกิดมาจากความว่างเปล่า เกิดมาด้วยวิวัฒนาการของมัน มันถึงมีป่ามีเขา มีสิ่งมีชีวิต จิตนี้เกิดมาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เกิดมาจากความปรารถนาความต้องการ เวลาเกิดมาแล้ว สิ่งต่างๆ ขึ้นมา เวลามันเกิด เกิดเป็นมนุษย์ไง เพราะสิ่งมีชีวิตมีวิญญาณครอง แต่มนุษย์เป็นสิ่งที่มีวิญญาณครอง วิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
นี่ไง กำเนิด ๔ โอปปาติกะ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เวลาเกิด เกิดเพราะอะไร นี่ผลของวัฏฏะๆ พันธุกรรมของจิตเกิดจากการกระทำ เกิดจากการบ่มเพาะแต่ละภพแต่ละชาติ ภพใดชาติใด ศึกษาสิ่งใดแล้วมันตกผลึกในหัวใจ ตกผลึกในหัวใจจนเป็นสันดาน
สันดานของคนที่ดี สันดานของคนที่เห็นแก่ตัว สันดานของคนที่เป็นประโยชน์ สันดานของเขา พระโพธิสัตว์ๆ พระโพธิสัตว์เสียสละชีวิตของท่านเพื่ออุดมการณ์ของท่าน เพื่อความปรารถนาของท่าน ถึงที่สุดแล้วท่านมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสิ้นกิเลสของท่านไป แล้ววางธรรมวินัยไว้ ฝากมรดกไว้กับชาวพุทธ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
อุบาสกหมายถึงผู้ที่ถือศีล ๘ ผู้ที่มีจิตใจฝักใฝ่ วางธรรมและวินัยไว้กับบริษัท ๔ เป็นมรดกตกทอด นี่เป็นพินัยกรรม แล้วถ้าบริษัท ๔ ขวนขวายค้นคว้าแสวงหา จะได้พบสัจธรรมตามความเป็นจริง เพราะมีมรดก มีแผนที่ มีเครื่องดำเนิน ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ศึกษาๆ ศึกษากันนี่แหละ ที่ได้ ๙ ประโยค ๑๐ ประโยคนี่แหละ ที่ได้คุณธรรมนี่แหละ ได้ผลประโยชน์นี่แหละ สิ่งนี้พินัยกรรม มรดกตกทอด
ธรรมและวินัยเป็นศาสดาวางไว้ แล้วผู้ที่สนใจค้นคว้าแสวงหา มีการกระทำ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาในใจของเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
ทำความสงบของใจเข้ามา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทำสมาธิมันต้องรู้จักพุทธะ มันต้องรู้จักหัวใจของตน สมาธิมันว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ ก็อากาศไง อวกาศมันก็ว่าง ไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้ใดถือสิทธิครอบครอง
แต่ใจของเรา เราถือสิทธิครอบครองนะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง